30 พ.ค. 2558

รีวิว ASUS ZenFone 2 แรม 4 GB ราคาเฉียดหมื่น

รีวิว ASUS ZenFone 2 แรม 4 GB ราคาเฉียดหมื่น


เมื่อปีก่อนเรียกได้ว่าตลาดมือถือราคาต่ำกว่าหมื่นถูก ASUS ZenFone กวาดไปแทบทั้งหมด ทำเอาแบรนด์ดังทั้งหลายปวดหัวกับสเป็กและราคาที่ ASUS ทำออกมา และความแสบของปีก่อนทำให้หลายค่ายต้องรีบตักตวงก่อนที่ ZenFone 2 จะถูกวางขายเพราะกลัวจะซ้ำรอยเดิมคือถูก ASUS ยึดตลาด แต่ที่น่าจับตามองก็คือราคาที่ ASUS วางไว้สูงกว่าปีก่อน แม้ว่าสเป็กจะสูงกว่าคู่แข่งแต่ราคาที่ขยับขึ้นมาวนเวียนแถวหมื่นทำให้มีตัวเลือกที่มากขึ้นตามไปด้วย
สเป็ก ASUS ZenFone 2
  • ซีพียู Intel Atom Z3850 ( 2.3 GHz, 64 bit )
  • แรม 4 GB
  • หน่วยความจำภายใน 64 GB รองรับ microSD
  • หน้าจอ 5.5 นิ้ว IPS ความละเอียด Full HD
  • กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชคู่
  • กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิมและ 4G
  • รองรับระบบ Fast Charge
ZenFone 2 มีแยกย่อยอยู่ 4 รุ่นที่ต่างกันในส่วนของซีพียู แรม หน่วยความจำภายใน กล้อง ความละเอียดหน้าจอ รวมถึงระบบชาร์จเร็ว และครั้งนี้เลือกหยิบรุ่นแรม 4 GB มาทดสอบเพราะมันเป็นความตื่นเต้นที่ได้สัมผัสมือถือแรม 4 GB ในราคาราวหมื่น ทั้งที่มือถือเรือธงราคาเฉียดสามหมื่นยังมีแรมน้อยกว่านี้
ซึ่งรุ่นแรม 4 GB มีหน่วยความจำภายใน 2 ขนาดคือ 32 GB ราคา 9,990 บาท และ 64 GB ราคา 11,990 บาท
ฝาหลังมีลวดลายเป็นเส้นและโค้งรับอุ้งมือ ทำให้การถือค่อนข้างกระชับแม้ตัวเครื่องจะมีขนาดใหญ่ ส่วนปุ่มปรับเสียงถูกย้ายไปไว้ที่ฝาหลังคล้ายกับ LG แต่ปัญหาหลักคือปุ่มเปิด-ปิดที่วางไว้ด้านบน ซึ่งกดค่อนข้างยากแต่โชคดีที่รุ่นนี้รองรับการเคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิดและปิดด้วย
DSC00038_
ปุ่ม navigator ด้านล่างเรียงลำดับตามมาตรฐานกูเกิ้ลคือ back, home, recent apps แต่ที่น่าเสียดายคือปุ่มทั้ง 3 ไม่มีไฟส่องสว่าง
DSC00041_
การที่เกิดมาพร้อมกับ Android 5.0 ทำให้หน้าตาและระบบบางอย่างเปลี่ยนไป ที่เห็นได้ชัดก็คือแถบแจ้งเตือนด้านบนที่แบ่งการลากเป็น 2 จังหวะโดยลากครั้งแรกเข้าการแจ้งเตือน และลากซ้ำอีกครั้งเพื่อเข้าสู่การตั้งค่า
และจุดที่เป็นประเด็นที่สุดของ Android 5.0 ก็คือระบบเสียงที่เปลี่ยนไป เหลือแค่โหมดเสียงและโหมดสั่น ส่วนโหมดเงียบถูกตัดทิ้ง แต่เพิ่มโหมด interrupts เข้ามาแทนซึ่งเทียบเท่าระบบ Do not Disturb ซึ่งหลายคนรู้สึกว่าการปิดเสียงทำไมมันวุ่นวายแบบนี้ ทำให้ผู้ผลิตบางรายรวมถึง ASUS เลือกใช้วิธีดัดแปลงระบบเสียง โดยซ่อนความวุ่นวายไว้ใต้ UI ให้ออกมาเป็นรูปแบบที่คุ้นเคยที่สุดคือ
  • โหมดเสียง
  • โหมดสั่น
  • โหมดเงียบ
ซึ่งโหมดเงียบของ ZenFone 2 ที่จริงก็คือโหมด interrupts ของ Android 5.0 นั่นเอง
DSC00049_
ASUS ได้ใส่ลูกเล่นหลายอย่างเพิ่มเข้ามาในรอม เช่นZenMotion ซึ่งเป็นการควบคุมด้วยท่าทาง เช่น เคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อเปิดและปิดจอ หรือวาดตัว C ระหว่างปิดหน้าจอเพื่อเรียกใช้งานกล้อง หรือ One Hand Mode ที่เรียกใช้งานโดยกดปุ่ม home 2 ครั้ง
ASUS Cover หรือการใช้ร่วมกับเคสที่มีฝาปิดก็สามารถตั้งค่าเพิ่มเติมได้ว่าจะให้แสดงอะไรบ้าง เช่น กล้อง ไฟฉาย ปฎิทิน
ASUS customized setting ที่น่าสนใจคือการตั้งค่าการกดค้างของปุ่ม recent apps ว่าจะให้เข้าเมนู หรือจับภาพหน้าจอ หรือไม่ทำอะไร และการจับภาพหน้าจอก็สามารถเลือกนามสกุลได้ทั้ง png และ jpeg นอกจากนี้ยังเลือกตำแหน่งการติดตั้งแอปได้อีกด้วย แต่ความจริงแล้วหน่วยความจำภายในก็มีเพียงพอจะติดตั้งแอป ดังนั้นควรเลือกตำแหน่งการติดตั้งให้อยู่ในภายตัวเครื่องเพื่อลดปัญหาที่จะตามมา
DSC00050_
และเนื่องจากการใช้ Android 5.0 ทำให้รุ่นนี้รองรับการใช้งานหลายคน หรือ multi-user รวมถึง guest mode และ SnapView ทำให้สามารถสร้าง profile หรือติดตั้งแอปแยกจากกันได้ ซี่งที่จริงแล้วระบบ multi-user ของ Android 5.0 ไม่ได้แยกแต่ละ user ออกจากกันอย่างชัดเจน เพราะมีบางส่วนที่ใช้งานร่วมกันเช่น การอัพเดทแอป หรือการตั้งค่า WiFi
DSC00043_
อีกส่วนที่น่าสนใจคือ Screen pinning ที่อยู่ใน recent apps มีไว้สำหรับล็อกหน้าจอป้องกันการสลับไปยังแอปอื่น เหมาะสำหรับการทำ presentation หรือการ demo
ส่วน App Drawer มีระบบ Smart group ไว้ช่วยจัดเรียงแอปและโฟลเดอร์ นอกจากนี้ยังสามารถเลือก Grid size ได้ตั้งแต่ 3×3 ไปจนถึง 5×5 และในส่วนของ Launcher ก็มีระบบธีมให้เลือกใช้งานได้หลากหลายกว่าเดิม
DSC00047_
การใช้งาน 2 ซิมมีข้อจำกัดเล็กๆ คือซิมที่ใช้งานเน็ตจะต้องใส่ในช่องที่ 1 เท่านั้น ส่วน UI การโทรใช้วิธีควบรวมประวัติการโทรเข้าและ numpad สำหรับการโทรออก ทำให้การโทรหรือย้อนดูประวัติสะดวกขึ้น และยังมีปุ่มโทรออกชัดเจนว่าต้องการโทรออกจากซิมที่ 1 หรือ 2 นอกจากนี้ยังบันทึกเสียงการโทรได้ด้วย และสามารถตั้งอัตโนมัติให้บันทึกเสียงทุกครั้งได้เช่นกัน
DSC00051_
ด้านประสิทธิภาพได้คะแนน Antutu ไป 46,727 คะแนน ซึ่งถ้าอิงตามตารางก็ถือว่าทำได้ดีเกินตัวเพราะคะแนนเกือบเท่า Galaxy Note 4 ส่วนการใช้จริงก็ค่อนข้างเสถียรและลื่นมาก และที่น่าสนใจก็คือรุ่นนี้รองรับระบบ Fast Charge ซึ่งในกล่องก็แถมหัวแปลงแบบ Fast Charge มาด้วย วิธีสังเกตก็คือถ้าเป็นระบบ Fast Charge เวลาชาร์จจะมีเครื่องหมายบวกแสดงบนรูปแบตเตอรี่ นอกจากนี้ได้ทดสอบเอาหัวแปลงแบบ Quick Charge 2.0 ของ Qualcomm มาเสียบก็สามารถชาร์จเร็วได้เช่นกัน
DSC00057_
เรื่องของเสียงก็อยู่ในเกณฑ์ทั่วไป ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ที่เด่นมากก็คือกล้องซึ่งนับเป็นจุดเด่นของ ASUS เลยก็ว่าได้สำหรับโหมด Low Light ที่เก่งมาก สามารถเอาชนะเรือธงค่ายอื่นได้สบาย และถ้าอิงตามเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่นปัจจุบัน Manual mode  สามารถปรับแต่งได้เยอะกว่าเรือธงอย่าง Galaxy S6 ด้วยซ้ำ โดยปรับแต่งค่าได้ดังนี้
  • Manual focus
  • Shutter speed 1/2 ถึง 1/500
  • ISO 50 ถึง 800
  • EV -2 ถึง +2
  • White balance 2500K ถึง 6500K
ZenFone2_collage_
ในที่แสงน้อยกับโหมด Low Light สามารถดึงแสงสีและรายละเอียดได้ดีกว่าเรือธงอย่าง Galaxy S6 และ OPPO N3 ด้วยซ้ำ แต่โหมดนี้มีข้อจำกัดคือความละเอียดจะถูกลดลงมาเหลือเพียง 3 ล้านพิกเซล และใช้เวลาถ่ายประมาณ 2 วินาที แม้ว่าในช่วง 2 วินาทีควรจะตั้งกล้องให้นิ่งที่สุด แต่จากการใช้จริงพบว่าการสั่นในแบบไร้ขาตั้งกล้อง ใช้เพียงมือเปล่าก็ยังได้ผลลัพธ์ที่ดี
IMG20150521113308-down_
และถ้าเทียบจากสถานการณ์ที่มีแสงมากขึ้นกว่าเดิมก็ยิ่งเห็นความต่างได้ชัดว่า ZenFone 2 ทำได้ดีกว่าแบบขาดรอย
DSC00056
นอกจากโหมด Manual และ Low Light ก็ยังมีโหมดอื่นที่น่าสนใจเช่น Time Rewind ที่สามารถเลือกย้อนเวลาไปก่อนกดถ่าย 3 วินาทีและหลังถ่าย 1 วินาที หรือ Super Resolution ที่ทำหน้าที่คล้ายกับ UltraHD ของ OPPO คือนำภาพมาประมวลผลสร้างไฟล์ความละเอียดสูงประมาณ 37 ล้านพิกเซล หรือเทียบเท่า 8K UHD และในช่วงเวลาประมวลผลก็ไม่จำเป็นต้องถือกล้องค้างไว้เช่นเดียวกับ OPPO
อีกโหมดที่น่าสนใจคือ Smart Remove ไว้สำหรับลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพถ่าย เหมาะสำหรับการไปถ่ายสถานที่ท่องเที่ยวและมีคนเดินผ่านไปมา บดบังทัศนียภาพ และยังมีโหมด Time Lapse อีกด้วย
ส่วนกล้องหน้าก็มีโหมดหน้าสวย แต่งหน้า ทาปาก ศัลยกรรมผ่านจอได้เช่นกันกับค่ายอื่น และผลลัพธ์ก็ถือว่าน่าพอใจ
P_20150524_182725  P_20150522_164409
P_20150525_210637 P_20150524_184741
P_20150526_142128

ในที่กลางแจ้งหรือยามค่ำคืนไม่ใช่ปัญหาสำหรับ ZenFone 2 แต่กลับมาตกม้าตายง่ายๆ เพราะความเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องของแสง เนื่องจากบางครั้งก็วัดแสงออกมาค่อนข้างมืด
P_20150525_181756-tile
แต่ปัญหาเรื่องการวัดแสงก็ไม่ได้ทำให้รายละเอียดแย่ลงมากนัก เพราะเมื่อนำภาพมาปรับแสงหรือถ่ายด้วยโหมด HDR ก็จะเห็นรายละเอียดต่างๆ ครบถ้วน
ส่วนการถ่ายคลิปในที่แสงน้อยที่เคยเป็นปัญหาของ ZenFone ตัวเก่าในแบบที่ภาพกระตุกเหมือน frame rate ตก ก็ยังไม่เจอปัญหานี้บน ZenFone 2

บทสรุป


ความเร็ว78%
เสียง68%
กล้อง76%
ความคุ้มค่า95%
ความน่าวู่วาม80%
79%คะแนนรวม
ในภาพรวมแล้ว ASUS ZenFone 2 เป็นรุ่นสุดคุ้มและใช้งานจริงได้ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเป็กที่คุ้มเกินราคา และยังมาพร้อมระบบ Fast Charge รวมถึงกล้องที่ทำงานได้น่าประทับใจ แต่ปัญหาที่หลายคนกังวลคือเรื่องของศูนย์บริการที่ไม่ประทับใจนัก ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ใช้มือถือ ASUS ก็ยังไม่เคยเจอเครื่องไหนที่มีปัญหาจนต้องเข้าศูนย์ซ่อมเลยสักครั้ง ซึ่งประเด็นนี้ก็ต้องใช้วิจารณ์ญาณส่วนบุคคลว่าเรื่องศูนย์ซ่อมมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหนกับการเลือกซื้อ
ที่มา http://goo.gl/PFoAsP

PR: PLEX MEDIA SERVER พร้อมใช้งานบนผลิตภัณฑ์ตระกูล MY CLOUD NAS ของ WD แล้ววันนี้

PR: PLEX MEDIA SERVER พร้อมใช้งานบนผลิตภัณฑ์ตระกูล MY CLOUD NAS ของ WD แล้ววันนี้
WD® บริษัทในเครือของเวสเทิร์น ดิจิตอล และผู้นำระดับโลกในระบบจัดเก็บข้อมูลเผย นำเสนอแอพพลิเคชั่นใหม่ล่าสุดเปิดตัว Plex® แอพพลิเคชั่นเพื่อความบันเทิงที่สามารถดาวน์โหลดได้แล้วตอนนี้และใช้งานบนผลิตภัณฑ์ตระกูล My Cloud® NAS โดยแอพ Plex จะทำหน้าที่จัดระเบียบวิดีโอ เพลง และภาพถ่ายจากคลังสื่อส่วนบุคคล และสตรีมคอนเทนต์เหล่านั้นไปยังสมาร์ททีวี กล่องสตรีมมิ่งภาพยนตร์ และอุปกรณ์เคลื่อนที่
Sven Rathjen รองประธานและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายโซลูชั่นคอนเทนต์บนเครือข่ายของ WD กล่าวว่า “WD มุ่งมั่นตั้งใจที่จะสร้างระบบความสัมพันธ์ของแอพพลิเคชั่นที่แข็งแกร่งให้กับลูกค้าของเรา และ Plex ก็เป็นตัวอย่างที่สำคัญของวิสัยทัศน์บริษัท ปัจจุบัน นอกเหนือจากแอพ Plex แล้ว ผลิตภัณฑ์ในตระกูล My Cloud NAS จะกลายเป็นร้านแบบครบวงจร ซึ่งไม่เพียงแต่จะจัดเก็บและปกป้องข้อมูลที่มีค่าที่สุดของคุณเท่านั้น แต่ยังช่วยจัดระเบียบและสตรีมข้อมูลเหล่านั้นไปยังอุปกรณ์ทุกเครื่องของคุณอีกด้วย”
WD_2015-05-29_plex-infographic
คุณสมบัติที่สำคัญ
WD มุ่งมั่นที่จะขยายขีดความสามารถของแอพของบริษัทในสายผลิตภัณฑ์ My Cloud โดยปัจจุบัน ได้มีการรวมคุณสมบัติต่างๆ ของ Plex ไว้ในผลิตภัณฑ์ซีรีส์ต่างๆ ด้วย ซึ่งประกอบด้วย
  • การสตรีมรูปแบบไฟล์ที่รองรับโดยตรงจาก My Cloud ส่วนบุคคลของคุณ (รุ่น My Cloud Mirror, My Cloud EX2/EX4, My Cloud EX2100/EX4100 และ My Cloud DL2100/4100) ไปยังทุกแอพของ Plex
  • การรองรับ DLNA ระดับเวิลด์คลาสที่สร้างขึ้นภายในแอพโดยตรง
  • การแชร์สื่อได้แบบสบายๆ กับสมาชิกครอบครัวและกลุ่มเพื่อน
  • ส่วนต่อประสานแบบเรียบง่ายเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถจัดระเบียบสื่อของคุณได้ทั้งหมด
หากต้องการข้อมูลอัพเดตเกี่ยวกับการขยายการนำเสนอแอพอย่างต่อเนื่องในผลิตภัณฑ์ตระกูล My Cloud สามารถเข้าชมที่เว็บไซต์ www.wd.com
เกี่ยวกับ Plex
Plex ช่วยจัดระเบียบวิดีโอ ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ เพลง และคอลเลคชั่นภาพถ่ายของคุณ คุณจึงสามารถสตรีมรายการเหล่านี้ไว้บนหน้าจอทั้งหมดของคุณได้ และ Plex ยังช่วยให้คุณสตรีมสื่อของคุณไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ของคุณ อาทิเช่น Mac, PC, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, Xbox, PlayStation, สมาร์ททีวี, Roku, Chromecast รวมถึง TiVo ในอนาคตอันใกล้นี้  Plex สามารถเพิ่มความสวยงามให้กับสื่อของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ และรายการทีวี หรือคลังเพลงของคุณ ด้วยการเพิ่มโปสเตอร์ภาพยนตร์ สรุปพล็อตเรื่อง ปกอัลบั้ม และรายละเอียดต่างๆ โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ Plex ยังช่วยให้คุณสามารถแชร์โฮมวิดีโอ ภาพถ่าย เพลง และคอลเลคชั่นภาพยนตร์ของคุณกับเพื่อนๆ และสมาชิกครอบครัวได้ด้วย หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเข้าไปที่เว็บไซต์ https://plex.tv หรือติดตามได้ที่ @plexapp บน Twitter หรือ https://www.facebook.com/plexapp
ที่มา http://goo.gl/VFYqwS


รีวิว MacBook ขนาด 12 นิ้ว ที่เล็กและเบากว่า MacBook Air 11 นิ้ว

รีวิว MacBook ขนาด 12 นิ้ว ที่เล็กและเบากว่า MacBook Air 11 นิ้ว
สเป็ก MacBook ( Retina, 12 inch, early 2015 )
  • ซีพียู Intel Core M ( 1.1 GHz up to 2.4 GHz )
  • หน่อยประมวลผลกราฟฟิก Intel HD Graphics 5300
  • แรม 8 GB ( LPDDR3, 1600 MHz )
  • ฮาร์ดดิส SSD 256 GB
  • หน้าจอ 12 นิ้วแบบ IPS อัตราส่วน 16:10 ความละเอียด 2304*1440 ( 226 PPI )
  • กล้องความละเอียด 480p
  • ลำโพงและไมค์คู่
  • น้ำหนัก 920 กรัม
  • ราคา 43,900 บาท
MacBook รุ่นที่วางขายทั่วไปมี 2 สเป็ก ต่างกันเฉพาะส่วนของซีพียูและฮาร์ดดิส ซึ่งสเป็กตัวบนวางขายที่ราคา 54,900 บาท มีการเพิ่มซีพียูเป็น 1.2 GHz ที่เร่งความเร็วได้สูงสุด 2.6 GHz และมีฮาร์ดดิสขนาด 512 GB
หรือถ้าต้องการความเร็วสูงกว่านั้นก็สามารถสั่งปรับแต่งซีพียูเป็นรุ่น 1.3 GHz ได้ ซึ่งตัวนี้จะเร่งความเร็วได้สูงถึง 2.9 GHz ส่วนการทดสอบในครั้งนี้ เลือกใช้รุ่นที่มีซีพียูความเร็ว 1.2 GHz
DSC00039
รูปร่างและน้ำหนัก
จุดเด่นที่สุดของ MacBook ตัวนี้ก็คือรูปร่างและน้ำหนัก เพราะมีการลดที่ว่างด้านข้างแป้นพิมพ์และขอบจอ ทำให้ความกว้างของตัวเครื่องลดลงจนมีขนาดเล็กกว่า MacBook Air 11 นิ้ว แต่แป้นพิมพ์กลับมีขนาดที่ใหญ่กว่าปรกติ ช่วยให้พิมพ์ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงแป้นพิมพ์ให้มีแสงไฟภายใต้แต่ละปุ่มแยกกัน ช่วยให้แสงมีความสม่ำเสมอกว่ารุ่นอื่นๆ
น้ำหนัก 920 กรัม เมื่อเทียบกับไอแพดรุ่นล่าสุดอย่าง iPad Air 2 ที่มีน้ำหนัก 444 กรัม ก็คล้ายกับการพกไอแพด 2 เครื่อง ซึ่งถือว่าเบามากเมื่อเทียบกับโน๊ตบุคทั่วไปที่มีน้ำหนักประมาณ 1,500-2,200 กรัม เรียกได้ว่า MacBook มีน้ำหนักเบากว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปเกือบเท่าตัว
DSC00026
การเชื่อมต่อ
การลดขนาดของตัวเครื่องทำให้ Apple เลือกตัดพอร์ตการเชื่อมต่อให้เหลือเพียง USB 3.1 Type-C เพียงช่องเดียว แต่ยังเลือกที่จะเก็บช่องเสียบหูฟังไว้ให้ใช้งาน
USB-C รับหน้าที่ดูแลการเชื่อมต่อทั้งหมด แม้กระทั่งการเสียบชาร์จหรือการต่อออกหน้าจอ รวมถึงการต่อกับ USB ขนาดปรกติ ก็ต้องทำผ่านพอร์ตนี้แต่ต้องซื้อหัวแปลงเพิ่ม ซึ่ง Apple ได้วางขายหัวแปลง 3 แบบคือ
  1. USB-C to USB สำหรับแปลงเป็น USB ขนาดปรกติ ราคา 690 บาท
  2. USB-C Digital AV Multiport สำหรับแปลงเป็น USB-C, HDMI และ USB ขนาดปรกติ ราคา 2,990 บาท
  3. USB-C VGA Multiport สำหรับแปลงเป็น USB-C, VGA และ USB ขนาดปรกติ ราคา 2,990 บาท
ถ้าจะใช้งาน USB พร้อมกับเสียบชาร์จไปด้วย ก็จำเป็นต้องซื้อหัวแปลงเพิ่มในราคา 2,990 บาท แต่ในความเป็นจริง MacBook สามารถใช้งานต่อเนื่องได้สูงสุด 10 ชั่วโมง ทำให้ไม่จำเป็นต้องเสียบชาร์จบ่อยๆ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นต้องต่อออกหน้าจอ ก็สามารถประหยัดงบด้วยการเลือกซื้อ USB-C to USB ในราคา 690 บาท
HydraDock_—_11_Port_USB-C_Dock_For_Apple_MacBook_by_KickShark_—_Kickstarter_Fotor_Collage
ด้วยความใหม่ของ USB-C ทำให้บางคนกังวลเรื่องของอุปกรณ์ที่รองรับ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีอุปกรณ์เสริมของเจ้าอื่นให้เลือกซื้อแล้ว เช่น Hub+ for USB-C , HydraDock และ InfiniteUSB ดังนั้นหมดห่วงเรื่องอุปกรณ์เสริมสำหรับ USB-C
การที่ Apple เลือกใช้ USB-C ช่องเดียวทำหน้าที่ทุกอย่าง เลยส่งผลให้สามารถนำ Power Bank มาเสียบชาร์จแทนการเสียบปลั๊กได้ด้วย แต่มีข้อแม้ว่า Power Bank ต้องจ่ายไฟได้มากพอ
DSC00046
การแสดงผล
หน้าจอขนาด 12 นิ้ว บนความละเอียด 226 PPI ให้ความคมชัดในระดับที่เรียกได้ว่าน่าประทับใจ บวกกับหน้าจอแบบ IPS ที่ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา ซึ่งมุมมองที่กว้างก็ช่วยให้ความผิดเพี้ยนของสีน้อยลง ต่างจาก MacBook Air ที่ใช้หน้าจอแบบ TN ซึ่งให้องศาการมองที่แคบกว่า
ความละเอียดหน้าจออยู่ที่ 2304*1440 ส่วนการตั้งค่าความละเอียดยังคงใช้วิธี scale โดยความละเอียดตั้งต้นอยู่ที่ 1280*800 แต่แนะนำให้ปรับความละเอียดขึ้นไปที่ 1440*900 ซึ่งเป็นความละเอียดสูงสุด เพราะมีพื้นที่การทำงานที่มากกว่า
สำหรับใครที่เคยใช้ Windows และมีหน้าจอความละเอียดสูง จะเจอปัญหาขนาดตัวหนังสือเล็กจนมองไม่เห็น และถ้าปรับให้ใหญ่ขึ้นก็อาจทำให้การแสดงผลบางส่วนผิดเพี้ยนไป แต่ปัญหานี้ไม่มีบน OSX ของ MacBook เพราะมีการปรับสัดส่วนให้เหมาะสมอ่านง่าย
DSC00035
ระบบเสียง
เรียกได้ว่าทำเอาสื่อหลายสำนักประหลาดใจ เพราะ MacBook ที่ตัวเครื่องเล็กขนาดนี้แต่กลับให้เสียงที่ดีมาก
ในแง่คุณภาพเสียงให้รายละเอียดที่ดีกว่า iMac 21.5 inch, Late 2013 ที่ผมใช้อยู่ เมื่อเปิดเพลงเทียบกันพบว่า MacBook สามารถแยกเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นได้ชัดเจนกว่า รวมถึงการขับเสียงในย่านต่างๆ ก็ฟังดูมีพลัง ส่วนความดังก็เรียกได้ว่าเสียงดังไม่แพ้ MacBook Pro เลยด้วยซ้ำ ในภาพรวมบอกได้ว่า MacBook ตัวนี้มีระบบเสียงที่ดีเกินตัว
เมื่อประกอบเข้ากับหน้าจอที่คมชัด สีสันครบถ้วน ทำให้ MacBook กลายเป็นเครื่องมือด้านความบันเทิงที่ดีมาก
DSC00057
กล้อง
ถือว่าเป็นจุดอ่อนที่สุดของ MacBook รุ่นนี้ เพราะเป็น Mac รุ่นเดียวในปี 2015 ที่เลือกใช้ความละเอียดกล้องต่ำกว่า 720p หรือถ้าพูดให้ชัดคือกล้องหน้าของ MacBook เทียบเท่ากล้องหน้าของ iPhone 4S ที่มีความละเอียด 480p
ในแง่คุณภาพก็แตกละเอียดปราศจากความคมชัด และยิ่งแย่เข้าไปอีกเมื่อใช้ในที่แสงน้อย แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานในแบบ VDO Call
DSC00032
แป้นพิมพ์และการควบคุม
แป้นพิมพ์แบบใหม่ภายใต้ชื่อ buttlefly ซึ่งมีกลไกที่ดีขึ้น บวกกับปุ่มที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ปัญหาคือตัวแป้นพิมพ์ค่อนข้างตื้นกว่าปรกติทำให้ต้องใช้เวลาปรับตัว แต่หลังจากใช้เวลาปรับตัวไม่นานก็จะพิมพ์ได้เร็วและแม่นยำกว่าแป้นพิมพ์ทั่วไป
DSC00031
Trackpad มีการปรับเปลี่ยนไปเป็นแบบ Force Touch ซึ่งสามารถคลิกได้ทุกตำแหน่งบน Trackpad และยังรองรับการคลิก 2 ระดับ คล้ายกับการกดชัตเตอร์ของกล้อง คือการกดระดับแรกแทนการคลิกปรกติ แต่ถ้ากดลงไปอีกระดับจะเป็น Force click ซึ่งเป็นการเรียกใช้คำสั่งพิเศษเช่น look up, preview
ข้อดีอีกอย่างของ Force Touch คือสามารถตรวจจับน้ำหนักของการกดได้ โดยต้องใช้ร่วมกับแอปที่รองรับเช่น การเซ็นชื่อบนแอป Preview
อีกส่วนที่ทำได้ง่ายกว่า Touchpad ทั่วไปคือการลาก ( drag ) ที่ใช้วิธีการคลิกแล้วลากนิ้วต่างจาก Touchpad ทั่วไปที่ใช้วิธีแตะ 2 ครั้งแล้วลากนิ้ว ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดได้เยอะ
DSC00048
ประสิทธิภาพและความเร็ว
สิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจกันมากที่สุดก็คือเรื่องของความเร็วบน Core M และถ้าอิงตามข้อมูลของสื่อต่างชาติแทบทุกสำนักลงความเห็นว่ามันเป็น Core M ที่ทำงานได้เร็วที่สุดต่างจาก Core M ที่เคยพบบน Windows ทุกรุ่น
Compare_Intel®_Products
ความจริงแล้วความเร็วที่ Apple นำมาใช้ เป็นการปรับแต่งความเร็วขั้นต่ำภายใต้เงื่อนไขที่ Intel กำหนด
  1. M-5Y31 ความเร็วตั้งต้น 900 MHz และ Apple เลือกปรับเป็น 1.1 GHz
  2. M-5Y51 ความเร็วตั้งต้น 1.1 GHz และ Apple เลือกปรับเป็น 1.2 GHz
  3. M-5Y71 ความเร็วตั้งต้น 1.2 GHz และ Apple เลือกปรับเป็น 1.3 GHz
สิ่งสำคัญนอกจากความเร็วของซีพียูที่ต่างกันก็คือความเร็วสูงสุดของกราฟฟิก ในรุ่น 1.1 GHz เร่งได้ที่ 850 MHz ซึ่งน้อยกว่ารุ่นอื่นที่เป็น 900 MHz
แม้ว่า Intel จะประกาศออกสื่อว่า Intel Core M จับคู่กับกราฟฟิก Intel HD Graphics 5300 จะสามารถเล่นเกมบน Windows ได้สบาย ไม่ว่าจะเป็น Batman: Arkham Origins Blackgate, Street Fighter X Tekken, The Amazing Spider-Man 2, The Sims 4 ( สามารถดูรายชื่อเกมเพิ่มเติมได้ที่หน้าเว็บ Intel )
แต่จากการใช้จริงก็สรุปได้ว่า MacBook ไม่เหมาะที่จะนำมาเล่นเกม ส่วนการใช้งานแอปก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แม้กระทั่งแอปตัดต่อหนังอย่าง iMovie หรือแอปจากค่าย Adobe ไม่ว่าจะเป็น Photoshop, Illustrator, Dreamweaver ก็ทำงานได้ลื่นไหล เว้นแต่จะนำไปประมวลผลหนักๆ ก็จะเห็นความต่างเมื่อเทียบกับ Intel Core i ที่ทำได้เร็วกว่า
ด้าน Multitask ก็ทำได้ดี โดยเปิดแอปพร้อมกันดังนี้ Dropbox, Google Drive, OneDrive, Calendar, Mail, Notes, TextEdit, Pages, Wunderlist, LastPass, Pushbullet, Feedly, Line, Twitter, Safari, Photoshop, Skitch ก็ยังทำงานได้ดีไม่มีสะดุด
สำหรับการดูคลิปจาก YouTube ที่ความละเอียด 4K ก็ทำได้ลื่นไหลบน Safari แต่กระตุกจนดูไม่ได้เมื่อเปิดผ่าน Chrome
แม้ว่าใช้งานจริงจะทำได้ดีเกินคาด แต่กลับมีอาการกระตุกให้เห็นเมื่อเปิดเว็บ facebook ทิ้งไว้ระยะหนึ่ง สาเหตุเพราะ facebook เป็นเว็บที่บริโภคทรัพยากรสูงมาก ส่วนเว็บอื่นนอกจากนี้ก็สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา
DSC00021
บทสรุป
MacBook ที่เลือกใช้ซีพียูที่ประหยัดพลังงานและไร้พัดลมอย่าง Core M ก็สามารถใช้งานทั่วไปได้อย่างราบลื่น และแม้ว่า Core M จะจัดการความร้อนได้ดีกว่ารุ่นอื่นแต่ก็ไม่ดีพอที่จะนำมาเล่นบนตัก เนื่องจากตัวเครื่องยังมีความอุ่นอยู่พอสมควร
นอกจากน้ำหนักที่เบามาก ตัวเครื่องที่เล็กมาก ก็ยังมีเรื่องของแบตเตอรี่ที่ใช้งานต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง ทำให้ MacBook เหมาะจะพกพาติดตัวทุกวัน
แม้ว่าหลายคนจะลงความเห็นว่า MacBook ไม่เหมาะจำใช้งานเป็นเครื่องหลัก แต่จากที่ได้ใช้งานมาหลายวันก็รู้สึกได้ว่าถ้าไม่ได้ใช้แอปหนักๆ เช่น การตัดต่อคลิปหรือเพลงอย่างจริงจัง… MacBook เครื่องนี้ก็มีดีพอที่จะใช้งานเป็นเครื่องหลักได้
ที่มา http://goo.gl/Lkw1Ke

รีวิว Xiaomi Yi Sport Camera แอคชั่นแคม

รีวิว Xiaomi Yi Sport Camera แอคชั่นแคมขวัญใจมหาชน

การมาของกล้องในกลุ่ม Action Camera อย่าง Yi Sport Camera ทำให้คนหันมาสนใจกล้องประเภทนี้มากขึ้น เพราะคุณสมบัติใกล้เคียง GoPro มีขนาดพกพาสะดวกและสั่งงานผ่านมือถือได้ แต่ราคาถูกกว่าประมาณ 5  เท่า
Image20150313165557

สเป็กกล้อง Xiaomi Yi Sport Camera
  • ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.8 มุมกว้าง 155 องศา
  • เซ็นเซอร์ Sony Exmor R BSI CMOS
  • หน่วยประมวลผลภาพ Ambarella A7LS
  • รองรับ microSD สูงสุด 64 GB และไม่มีหน่วยความจำภายใน
  • น้ำหนัก 72 กรัม
  • แบตเตอรี่ 1010 mAh
  • รองรับการเชื่อมต่อ micro USB และ micro HDMI
Image20150313164638

สิ่งที่ทำให้หลายคนหันมาสนใจ Yi Sport Camera ก็คือราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ 399 หยวน หรือประมาณ 2,000 บาทเท่านั้น งานนี้เรียกว่าท้าชนเบอร์หนึ่งเลยก็ว่าได้ เนื่องจาก Yi Sport Camera มีสเป็กใกล้เคียงกับ Action Camera เบอร์หนึ่งของวงการอย่าง GoPro แต่ราคาถูกกว่ากันหลายเท่าตัว

Image20150313142047

ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว Yi Sport Camera ไม่เชิงว่าเป็นสินค้าของ Xiaomi ซะทีเดียว แต่เป็นสินค้าของ Xiaoyi ที่วางขายผ่านช่องทางของ Xiaomi และก็ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีการถือหุ้นร่วมหรือเป็นบริษัทในเครือ และ Yi Sport Camera ไม่ใช่กล้องรุ่นแรกของ Yi แต่มี Yi Smart Camera วางขายมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นถ้าจะสั่งซื้อผ่านหน้าเว็บก็อย่าลืมตรวจสอบชื่อรุ่นให้ดี

DSC00012_Fotor



การใช้งาน Yi Sport Camera ก็ไม่ต่างจาก Action Camera ทั่วไปคือปุ่มด้านหน้าใช้สำหรับเปิด-ปิดและเปลี่ยนโหมด รอบๆ ปุ่มมีแสงไฟบอกสถานะของแบตเตอรี่

DSC00012_Fotor

ด้านข้างมีปุ่มสำหรับเปิด WiFi เพื่อเชื่อมต่อกับมือถือ ด้านบนมีปุ่มชัตเตอร์และไฟบอกสถานะ ด้านล่างมีช่องสำหรับใส่ขาตั้ง

DSC00013_Fotor

ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ จะถูกซ่อนอยู่ภายใต้ฝาปิดอีกที

Screenshot_2015-03-14-01-02-42

การใช้งาน Yi Sport Camera สามารถใช้งานแบบ Stand Alone โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับมือถือ แต่เนื่องด้วยตัวเครื่องไม่มีหน้าจอ ดังนั้นการเชื่อมต่อและสั่งงานผ่านมือถือก็ช่วยให้ได้มุมองศาที่ดีขึ้น

การเชื่อมต่อกับมือถือทำได้ไม่ยาก เพียงแค่กดปุ่ม WiFi ด้านข้างตัวเครื่องและรอสักพักให้ไฟสีฟ้ากระพริบ จากนั้นก็เปิดแอป Yi Camera และทำการเชื่อมต่อผ่าน WiFi ก็พร้อมใช้งาน ส่วนการพรีวิวภาพบนหน้าจอก็มีการ delay เล็กน้อยซึ่งเป็นเรื่องปรกติของการควบคุมกล้องผ่านมือถือ

แอป Yi Camera ทำออกมาค่อนข้างดีมีลูกเล่นที่น่าสนใจ โดยแบ่งการถ่ายออกเป็น 3 โหมดคือ
  1. Photo สำหรับถ่ายภาพนิ่ง
  2. Snapshot สำหรับถ่ายคลิปสั้นๆ
  3. Video สำหรับถ่ายคลิป
ในส่วนของ Photo มีความละเอียดสูงสุดที่ 16 ล้านพิกเซล ถ่ายได้เฉพาะอัตราส่วน 4:3 เท่านั้น และมีโหมดย่อยคือ Normal, Self-timer, Time Lapse, Burst ซึ่งสามารถถ่าย Time Lapse ได้ตั้งแต่ 0.5 – 60 วินาที และ Burst ได้สูงสุด 7 ภาพต่อวินาที และยังตั้งค่าการวัดแสงได้ทั้ง Center, Average และ Spot

ส่วน Snapshot จะเป็นการถ่ายคลิปสั้นๆ ที่ความละเอียด 640×480 เพื่อให้บันทึกลงมือถือและแชร์ต่อได้สะดวก

Video สามารถบันทึกได้สูงสุดที่ Full HD 60p ในอัตราส่วน 16:9 แต่ถ้าต้องการถ่ายภาพนิ่งระหว่างบันทึกคลิป ต้องลดความละเอียดลงมาเหลือ Full HD 30p

Screenshot_2015-03-14-01-04-04

การตั้งค่าอื่นที่น่าสนใจเช่น
  • Auto low light สำหรับถ่ายในที่แสงน้อยให้ดีขึ้น
  • Auto turn on WiFi with device ให้เปิดการเชื่อมต่อ WiFi ทันทีที่เปิดเครื่อง
  • Loop recording ในกรณีที่หน่วยความจำเต็มจะบันทึกคลิปทับไปเรื่อยๆ
  • Buzzer volume ระดับความดังเสียง “บี๊บ” เมื่อสั่งงาน
  • LED mode เปิด-ปิดไฟแสดงสถานะที่ตัวกล้อง
  • Find the camera ใช้ค้นหาตำแหน่งของกล้องด้วยเสียง “บี๊บ”
นอกจากนี้ยังสามารถใช้งานระหว่างชาร์จได้ จึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับ Loop recording เพื่อเป็นกล้องวงจรปิดหรือติดหน้ารถได้ และการปิด Buzzer volume และ LED mode นอกจากจะลดการรบกวนผู้อื่นแล้วก็ยังช่วยลดการบริโภคพลังงานได้ด้วย

ส่วนการตั้งค่าอีกอย่างที่ถือเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือ Lens rectification สำหรับลด Distortion หรือความผิดเพี้ยนบริเวณขอบภาพ ซึ่งเป็นลักษณะของกล้องที่มีมุมมองกว้างมากๆ

DSC00005_Fotor


คนที่ไม่รู้จัก Action Camera มักนำไปเทียบกับกล้องมือถือและบอกว่า Yi Sport Camera ภาพไม่สวย 
ไม่มีมิติ ซึ่งถือเป็นการเทียบที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะกล้องแนวนี้เดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับกีฬากลางแจ้ง โดยมีเป้าหมายคือขนาดเล็กติดตั้งง่าย สามารถเก็บภาพได้ชัดทุกระยะและมีมุมกว้างมากๆ เช่นนำไปติดหน้ารถจักรยาน หรือติดที่หมวก หรือติดที่สัตว์เลี้ยง

แม้ว่าตอนนี้คนนิยมนำมาประยุกต์ใช้กับแนวอื่นเช่น selfie เพราะความสะดวกในการพกพา แต่ก็ควรทำความเข้าใจคุณลักษณะของกล้องประเภทนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

Image20150314202924


ดังนั้นการทดสอบเปรียบเทียบในครั้งนี้จะเทียบกับ GoPro Hero3 Black edition ซึ่งเปิดตัวที่ราคาประมาณ 13,000 บาท ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.8 และแบตเตอรี่ 1050 mAh กับ SJCAM SJ4000 ราคาประมาณ 3,200 บาท ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.8 แบตเตอรี่ 
900 mAh

ด้านรูปร่างภายนอก GoPro มีขนาดเล็กที่สุด และ SJ4000 ใหญ่ที่สุดซึ่งเป็นผลมาจาก SJ4000 มีหน้าจอในตัว แม้ว่าจะเพิ่มความสะดวกในการใช้งานแต่ก็ทำให้บริโภคพลังงานมากขึ้นตามไปด้วย ในแง่ความสามารถของทั้ง 3 รุ่นไม่ต่างกันมากนัก แต่จะมีจุดต่างที่ชัดเจนคือ GoPro และ Yi มีโหมดสำหรับลด Distortion ซึ่งไม่มีบน SJ4000 ในขณะที่ SJ4000 มีโหมดลดการสั่นและมี HDR แต่รุ่นอื่นไม่มี

DCIM100MEDIA

การทดสอบแรก เริ่มจากที่กลางแจ้งซึ่งเป็นจุดแข็งของกล้องประเภทนี้ เริ่มจากรูปด้านซ้ายซึ่งถ่ายในโหมดปรกติพบว่า Yi และ GoPro เก็บภาพได้มุมกว้างกว่า SJ4000 อย่างชัดเจน แต่ในแง่สีสัน SJ4000 ดูจัดจ้านที่สุดซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากระบบ HDR ส่วน GoPro ได้สีที่เอียงไปทางโทนอุ่นติดสีเหลือง ด้านความละเอียดก็ไม่ต่างกันมากนัก เว้นแต่จะนำภาพมาถ่างขยายและจับผิดซึ่งก็เด่น-ด้อยต่างกันไป

รูปด้านขวาเป็นการเปิดโหมดเพื่อลด Distortion ซึ่งมีอยู่บน Yi และ GoPro ช่วยให้ขอบภาพผิดเพี้ยนน้อยลง แต่มุมมองก็แคบลงไปด้วย

DCIM100MEDIA

ในที่แสงน้อยซึ่งเป็นจุดอ่อนของกล้อง Action Camera กลับสร้างความต่างให้ Yi ชนะแบบทิ้งห่าง GoPro และ SJ4000 ทั้งในแง่ความสว่าง ความคมชัดและมุมมองที่กว้าง

และเมื่อปรับลด Distortion ตามรูปด้านขวาก็เห็นได้ว่า Yi ให้สัดส่วนได้ดีที่สุด เสาที่อยู่ด้านซ้ายก็ตั้งตรงตามที่ควร ยกเว้นลูกฟุตบอลด้านขวาที่ยังคงมีอัตราส่วนเพี้ยน ในขณะที่ GoPro หลังลด Distortion ก็ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ SJ4000 คือมีมุมมองที่แคบกว่า Yi และเสายังคงเบี้ยวแต่ลูกฟุตบอลไม่ผิดสัดส่วน


ด้านการบันทึกคลิปในที่แสงน้อย Yi ก็ค่อนข้างมืด ต่างจากการถ่ายภาพนิ่งที่ทำไว้ดีมาก



สำหรับที่แสงน้อย GoPro ก็ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ Yi



และการที่ Yi ไม่โดดเด่นเหมือนการถ่ายภาพนิ่ง ทำให้ SJ4000 ดูสูสีกับ Yi และ GoPro


เมื่อนำ Yi มาปรับโหมดลด Distortion ก็ยังคงมีความผิดเพี้ยนให้เห็น


และเมื่อลด FOV บน GoPro ลงมาเป็น Medium ให้ใกล้เคียงกับ Yi ก็ยังคงมี Distortion เช่นกัน



เมื่อนำทั้ง 3 รุ่นมาทดสอบความเที่ยงตรงของเฉดสีและความสั่นของการบันทึกคลิปพบกว่า 
GoPro ทำได้ดีที่สุด รองมาคือ Yi

บทสรุป

Image20150313170031

จากการทดสอบในหลายสถานการณ์ เรียกว่าในภาพรวมแล้ว Yi Sport Camera มีผลลัพธ์ที่น่าประทับใจมาก

ส่วนการที่ไม่มีหน้าจอก็ช่วยให้ใช้งานต่อเนื่องได้ค่อนข้างนาน ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วกล้อง Action Camera จะบันทึกคลิปต่อเนื่องได้ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นด้วย โดยเฉพาะความละเอียดที่เลือกใช้ และการลดภาระบนตัวเครื่องด้วยการปิดไฟสถานะต่างๆ

Yi Sport Camera ต่างกับพวก QX lens ตรงที่การใช้งานแบบ Stand Alone จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เนื่องจาก QX lens มีการเลือกระยะโฟกัสเพื่อทำมิติหน้าชัด-หลังเบลอต่างจาก Yi Sport Camera ที่เน้นถ่ายให้ชัดทั้งภาพ ทำให้ QX lens อาจโฟกัสหลุด รวมถึงการประมวลผลภาพที่ค่อนข้างแย่เมื่อไม่ได้ใช้ร่วมกับมือถือ ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Action Camera ถูกนำมาใช้แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะ Yi Sport Camera ที่ออกแบบมารองรับขากล้อง selfie โดยไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริม

จุดเด่นอีกอย่างของ Action Camera ก็คือชุดอุปกรณ์เสริมต่างๆ ซึ่ง Xiaomi เคยประกาศไว้ว่าเมื่อประกอบ Yi Sport Camera เข้ากับ housing จะสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 40 เมตร แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีอุปกรณ์เสริมดังกล่าววางขาย ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มวางขายช่วงปลายเดือนเมษายนพร้อมกับแอปสำหรับ iOS

ส่วนเรื่องราคาเปิดตัวราว 2,000 บาทนั้น เป็นราคาที่เราไม่สามารถซื้อได้ เนื่องจากสินค้ามีน้อยและเป็นที่ต้องการสูง ทำให้พ่อค้าจีนเหมาจนหมดสต็อกและนำมาขายเก็งกำไรเช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ ของ Xiaomi และเมื่อรวมค่าขนส่งบวกกำไรให้พ่อค้าแล้วกว่าจะถึงมือคนไทยเรา ราคาก็ขยับเป็น 3,xxx บาทเรียบร้อย แต่เมื่อเทียบกับคุณสมบัติแล้วก็ยังถือว่าน่าใช้อยู่ดี

และสำหรับคนที่ถามหาแอปภาษาไทย ทีมงาน MIUI Thailand ก็จัดทำไว้ให้แล้วเช่นเคย หาข้อมูลเพิ่ม

ที่มา www.miui.in.th

Mobile: มาถ่ายภาพแบบมืออาชีพแบบง่ายๆ ผ่านโหมดโปรใน vivo Smartphone!

Mobile: มาถ่ายภาพแบบมืออาชีพแบบง่ายๆ ผ่านโหมดโปรใน vivo Smartphone!

ในสมาร์ทโฟนทุกวันนี้ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำหน้าทำให้เราสามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างคมชัด สวยงาม แต่ภาพที่ออกมานั้นจะจำกัดภาพแต่ในรูปแบบเดิมๆ ที่กล้องตัวไหนก็ถ่ายได้เหมือนๆ กัน แต่ใน vivo ที่มาพร้อมโหมด Professional ที่เพิ่มลูกเล่นการปรับแต่งเมื่อถ่ายภาพ ได้ไม่ต่างจากกล้องตัวใหญ่ ให้คุณสามารถปรับแต่งภาพถ่ายในมุมมองที่แตกต่างออกไปได้ 
โดยความสามารถของโหมด Professional จะแบ่งเป็น 5 โหมดย่อย ได้แก่...
โหมด EV ย่อมาจาก Exposure Value ใช้สำหรับการชดเชยแสงเพื่อให้ภาพที่คุณถ่ายมีความสว่างขึ้นหรือมืดลงได้ตามที่คุณต้องการ โดยการปรับค่า EV จะเรียกเป็น stop ซึ่งในเครื่องของเราสามารถปรับได้จาก + 2 stops ถึง – 2 stops
ตัวอย่างภาพที่ปรับด้วย EV
โหมด ISO หมายถึง ค่าความไวแสงใช้สำหรับปรับความเร็วชัตเตอร์ให้เร็วยิงขึ้น ลดการสั่นไหวของภาพ โดยสามารถปรับค่า ISO ได้ตั้งแต่ 100/200/400/800/1600
โหมด Speed shutter สามารถปรับความเร็วได้ตั้งแต่ 1/5000 วินาที ถึง 32 วินาที โดยยิ่งเปิดรูรับแสงนานยิ่งสามารถถ่ายภาพในที่มืดได้ดีโดยไม่มี Noise รบกวนในภาพ หรือสามารถสร้างสรรค์ภาพเส้นแสงสวยงามจากการเปิดรูรับแสงนานๆ ได้ (การเปิดรูรับแสงนานๆ กล้องต้องอยู่ในสภาพที่นิ่ง แนะนำให้ใช้ขาตั้งกล้องระหว่างถ่ายภาพ)
ตัวอย่างภาพจากโหมด Speed shutter
โหมด White Balance คือฟังก์ชั่นหนึ่งเอาไว้ใช้สำหรับแก้สีของรูปภาพเมื่ออยู่ในสถานที่ต่างๆ แล้วสีเกิดเพี้ยนขึ้นมา โดยมีฟังก์ชั่นสำหรับปรับแสงของหลอดไฟ และแสงเมื่ออยู่กลางแจ้งได้
โหมด Focus สำหรับถ่ายภาพที่ระยะต่างกัน โดยแบ่งออกเป็น
  • Macro โหมดนี้จะทำงานโดยโฟกัสภาพในระยะใกล้วัตถุ เหมาะสำหรับถ่ายภาพระยะใกล้ เช่น ภาพดอกไม้-แมลง
  • M สำหรับถ่ายภาพระยะกลาง เช่น ภาพบุคคลทั่วๆ ไป
  • Infinity โหมดนี้จะทำงานโดยโฟกัสภาพทั้งภาพให้ภาพชัดทุกสัดส่วน เหมาะสำหรับถ่ายภาพระยะไกล เช่น ภาพวิว ทิวทัศน์ ต่างๆ
ทั้งหมดนี้เป็นความสามารถคร่าวๆ ของสมาร์ทโฟน vivo ที่นอกจากจะถ่ายภาพแบบ Autoได้ยอดเยี่ยมแล้วยังมีโหมด Professional ตอบสนองการใช้งานของผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพ ที่สามารถรังสรรค์ภาพถ่ายในระดับไม่แพ้มืออาชีพเลยทีเดียว

พบบั๊ก Unicode บน iOS เมื่อรับข้อความแล้วจะเปิดแอพ Messages ไม่ได้ Apple ออกวิธีแก้ไขเบื้องต้นแล้ว

พบบั๊ก Unicode บน iOS เมื่อรับข้อความแล้วจะเปิดแอพ Messages ไม่ได้ Apple ออกวิธีแก้ไขเบื้องต้นแล้ว



มีรายงานบั๊กในแอพ Messages ของ iOS เพียงส่งสตริงชุดหนึ่งไปก็จะทำให้เครื่องของเหยื่อเกิดการแครชได้

บั๊กนี้เป็นบั๊กของ Unicode บน iOS ซึ่งเป็นบั๊กที่ทำให้เครื่องของเหยื่อเกิดการแครช, iMessage จะ logout, iPhone รีสตาร์ทตัวเอง ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นการส่งผ่าน SMS ธรรมดาหรือ iMessage

เมื่อ iPhone ได้รับสตริงชุดนี้ไมว่าจะผ่านทาง SMS ธรรมดาหรือ iMessage ก็ตาม สตริงชุดนี้จะถูกแสดงในการแจ้งเตือนและทำให้เครื่องเกิดการแครช เนื่องจากใช้ทรัพยากรในการเรนเดอร์สูงจนเกินไป แต่ทั้งนี้ปัญหาอาจเมื่อแสดงการแจ้งเตือนเท่านั้น ฉะนั้นหากเปิดแอพ Message อยู่และมีคนส่งสตริงนี้มาให้จะไม่เกิดปัญหาใดๆ

ตอนนี้ Apple รับทราบบั๊กนี้แล้ว และได้ออกแนวทางแก้ไขเบื้องต้น โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
  • เรียก Siri สั่งให้ “read unread messages”
  • ให้ Siri ตอบกลับข้อความนั้น หลังจากตอบกลับไปแล้วจะสามารถเปิดแอพ Messages ได้
  • ในแอพ Messages ให้ปาดจากขวาไปซ้าย และลบการสนทนาออก
ทั้งนี้ Apple เตรียมจะแก้บั๊กนี้ในอัพเดตหน้า และเนื่องจากบั๊กนี้เป็นบั๊กที่ค่อนข้างร้ายแรง ฉะนั้นทีมงานไม่แนะนำให้เอาไปแกล้งใครเล่นนะครับ

อัพเดต: มีรายงานว่านอกจาก Messages แล้วยังมีแอพอื่นเข้าข่ายด้วย เช่น Snapchat, Twitter

ที่มา – Apple Insider (1), (2), Apple Support

MacBook Pro Retina จอ 15 นิ้วตัวใหม่ รองรับจอ 5K

MacBook Pro Retina จอ 15 นิ้วตัวใหม่ จะเป็น MacBook ตัวแรกที่รองรับจอ 5K


หลังจากที่แอปเปิลออกอัพเดทสเปค MacBook Pro จอ 15 นิ้วเมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนนี้แอปเปิลได้ทำการคอนเฟิร์มแล้วว่า MacBook รุ่นนี้จะเป็นตัวแรกที่รองรับการต่อเชื่อมกับจอความละเอียดระดับ 5K รวมถึง 4K ความละเอียด 4096×2160 ด้วย

โดย MacBook Pro Retina จอ 15 นิ้ว จะมาพร้อมกับชิป AMD Radeon R9 M370X ตัวใหม่ ซึ่งแอปเปิลระบุว่าจะเพิ่มความเร็วมากกว่าเดิมถึง 80%

สำหรับความละเอียดที่รองรับ MacBook Pro รุ่นใหม่นี้ จะสามารถใช้ได้กับจอ 4K ความละเอียด 4096×2160 พิกเซลที่ระดับ 60Hz ส่วนการใช้จอละเอียด 5K นั้นต้องต่อผ่านสาย Dual-Cable Displays

สำหรับในเมืองไทยสามารถสั่งได้แล้วทาง Apple Online Store ส่วน iStudio คาดว่าจะนำ MacBook Pro Retina จอ 15 นิ้วเข้ามาขายในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังจากนี้

ที่มา – 9to5mac, Apple  MacThai